วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไงดี

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อย ๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
สองสิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง ‘สิ่งนอกตัว’ เหล่านั้นลงได้ ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไร ๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉย ๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่าง ๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน





“ อันสินทรัพย์ ทรัพย์สิน ดั่งต้องสาป
ห่วงบ่วงบาป บ่อเกิด กำเนินผี
มันคอยหลอก บอกสั่ง ต้องมั่งมี
คอยบ่งชี้ ไม่รีรอ พอไม่เป็น
ผีบังตา ไคว่คว้า ล่าทุกสิ่ง
ผีเข้าสิง วิ่งไป แม้ไม่เห็น
แสนเหนื่อยล้า เลือดตาแทบกระเด็น
ทนทุกข์เข็น เผ่นโผน ผีล่อลวง
พอมั่งมี ชีช้ำ ระกำอีก
คอยหลบหลีก หวาดระแวง ด้วยแรงห่วง
กลัวทุกสิ่ง ชิงของรัก แย่นักดวง
"พิษรักแรงหวง" ลวงหลอก ยากออกมา
สิ่งนี้หน๋อ หยอกล้อ ล่อลงบ่วง
คอยหลอกลวง เชิญชวน ครวญคร่ำหา
แม้เหนื่อยยาก ตรากตรำ มินำพา
มุ่งไคว่คว้า จนกายา ดับมอดลง ”

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กลอนคิดถึง

คิดถึงฉันไหม
ยามที่เราห่างไกลกันอย่างนี้
เธอคิดถึงฉันบ้างไหมคนดี
กับทุกๆนาทีที่ผ่านไป

จะเป็นเหมือนกับฉันหรือเปล่า
เหงียบเหงา...อ้างว้าง...เดียวดายจนหวั่นไหว
หรือว่าเธอแอบไปคิดถึงใครต่อใคร
ที่ไม่ใช่ฉัน...คนดี

อยากให้เธอได้รู้ถึงความรู้สึก
ในส่วนลึกๆของฉันคนนี้
มันคิดถึงเธอเพียงใด...ยามที่ต้องอยู่ไกลกันนะคนดี
คิดถึงทุกนาที...คิดถึงหมดใจที่มี...คิดถึงเธอ

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มองใครดี

ในบางครั้งคนเรากับมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเลยชักครั้งเดียว แต่กับไปมองหาจุดเสียของใครต่อใครก็ไม่รู้ มันก็แปลงดีนะที่คนเราชอบมองดูในสิ่งที่คนอื่นนั้นมองไม่เห็น แล้วตัวเราอะคิดอย่างไรดีกับการมองหาความดีของคนอื่น มันยากมากไปหรือเปล่าที่จะสร้างสรรค์ ในสิ่งที่คนอื่นมองงไม่เห็น นั้นคือความดี ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน แต่ใครละที่จะหามันเจอ แล้วเราเองเคยมองหาตัวเราเองบ้างหรือยังครับ ถ้ายังไม่เคยมองก็ลองมองดูนะ มันอาจจะมีข้อดีอยู่ไม่มากก็น้อยเพระเราทุกคนนั้นมีดีอยู่ในตัวเองอยู่แล้วทุกคน แต่ใครละที่จะนำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะในบ้างครั้งเราเองก็เหมือนกับอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ดังนั้นเราลองมองดูตัวเองดูสิว่าเรามีอะไรดีบ้างแล้วค่อยไปมองที่คนอื่น เพราะในเมื่อตัวเรายังไม่เคยมองดูตัวเองแล้วใครละที่จะมองเราแล้วช่วยเหลือเรา ถ้าเราไม่คิดที่จะช่วยตัวเองก่อน แล้วก็ต้องรักษาตัวเองในเป็นมนุษย์ที่เต็มร้อง *********( กิจติวรากรณศ์ )

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

วันหนึ่ง

การที่คนเรามีความรักมันดูไม่แปลงอะไรหลอกเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวที่กำลังเจริญเติบโตไปสู่ความเป็นมนุษย์ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อบุคคลมีรักและรักนั้นเป็นเพียงความฝันที่ไม่เป็นความจริงเพราะเมื่อเขาตื่นขึ้มมาแล้วเขากับพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขาเอง "รักนั้นจึงมองไม่เห็น เพราะเป็นรักแห่งฝัน "


วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

ความจริงของชีวิต




ของจริงนั้น หายาก แต่แล้วก็ต้องทำขึ้นถึงจะได้ ของจริงที่แท้มีอยู่ ๕ ประการ ๑. เกิดจริง ๒. แก่จริง ๓. เจ็บจริง ๔. ตายจริง ๕. พลัดพรากจากกันจริง ไม่มีกลับมาอีกแล้ว ตามหลักพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนชัดเจนมาก หากจะฟังโดยคิดพิจารณาแล้วนั้น จะเกิดประโยชน์มาก ปลุกกระตุ้นเตือนจิตให้เรามีสติ ให้เรามีความอดทน เพราะธรรมชาติชีวิตนี้มีของจริง ๕ อย่าง พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัด เราเกิดมาในโลกนี้ไม่วายต้องเสื่อมลงทุกวัน การเจ็บป่วยไข้ การไม่เป็นปกติของร่างกายสังขารนั้น ก็เป็นธรรมชาติเป็นจริงแล้ว เรียกว่า เจ็บ เวทนาที่เราได้จากกัมมัฏฐานนี้ก็เรียกว่า เจ็บ ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ความตายในชีวิตของเราเป็นอย่างนั้น โลกมนุษย์นี้หาความสุขไม่ได้ เวียนตายเวียนเกิดกันตลอดเวลา พระพุทธเจ้าจึงสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ อย่าสร้างทุกข์ไว้ในตัวเอง อย่าทำตัวและคนอื่นให้เดือดร้อน นอกเหนือจากเดือดร้อนแล้ว ท่านสอนไว้ชัดเจนแต่ไม่มีใครเอามาคิดเลย คือ ทำอะไรอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าเบียดเบียนคนอื่นเขา เราอยู่ได้สบาย ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ถ้าเรายอมเสียเปรียบเขาได้ก็เป็นดี ก็จะมีความสุข ซึ่งก็คือความสงบนั่นเอง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากการกระทำของเขาเหล่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะไม่มีกรรม กรรมมี ๒ อย่าง คือ กรรมดี และกรรมชั่ว กรรมชั่วนั้นเราไม่รู้เป็นของชั่ว ทำไปแล้วจึงรู้ว่ามันเดือดร้อนจริงๆ กรรมดีนั้น เราก็ไม่รู้เป็นของดี แต่ทำไปแล้วก็มีความสุข มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตแน่นอนที่สุด เพราะเราไม่เบียดเบียนตนเอง และคนอื่น ฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายอย่าประมาท และพยายามตั้งสติอารมณ์ สร้างความเพียรให้ได้ สร้างบารมีของเรา คนอื่นเอาบารมีมาให้เราไม่ได้ บารมี ก็คือ ความเพียรที่เราตั้งใจเจริญพระกัมมัฏฐาน ทุกลมหายใจเข้าออก ความจริงในชีวิตนี้ และของจริง ๕ อย่าง วัยเสื่อมไปคือ แก่ เกิดมาแล้ววัยก็ต้องเสื่อมไปจนกระทั่งแก่ บางคนไม่ทันแก่ ก็ต้องมาตาย คนเราในสากลโลกมนุษย์นี้ไม่ทราบว่าความดีคืออะไร เพราะเขาไม่เคยทำ แต่เขารู้เอารัดเอาเปรียบ มีเงินมีทองมากมาย ก่ายกองถือว่าเป็นความดี แต่เขาหาความสุขในจิตใจไม่ได้เลย การเจริญกัมมัฏฐานต้องการแสวงหาความสุข เรามีความสงบมากเท่าไรจะมีความเยือกเย็นใจมากเท่านั้น เรานั้นวัยก็จะเสื่อมลงไปทุกวัน เราต้องแก่ไปทุกๆ วินาที แต่ความดีไม่มีอยู่กับเราเลย น่าเสียดายมาก อย่าคิดเลินเล่อ อย่าคิดพลาด อย่าคิดประมาท ความตายมาถึงเราเมื่อไรเราจะรู้ได้อย่างไร รีบทำดีเสียเดี๋ยวนี้ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ มัจจุราชแห่งความตายจะมาสู่เราเมื่อไรก็ไม่รู้ การเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นการสร้างความดีของท่าน ไม่ใช่ใครทำให้ ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ จะมาแบ่งแจกแจงกันอย่างไร ถ้าอาตมาแบ่งได้โยมก็ไม่ต้องมาทำ แบ่งความดีไปให้โยมคนละกิโล สองกิโล มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นของใครของมัน ต้องทำให้รู้ ทำให้แจ้ง ทำให้เห็นจริง ทำให้ได้ผล ทำให้เกิดสัจจะ ความจริงใจ ชีวิตนี้ก็จะแจ่มใส เกิดแสงสว่างด้วยปัญญา ความลับของกองการสังขารเราจะออกได้ และใช้เป็น วิธีการเช่นนี้นั้น หาคนที่จะสนใจได้ยาก เพราะเขาไร้บุญวาสนาที่จะมาสนใจ อ้างเลศว่ายังไม่ว่าง ยังมีงานอยู่มากหลาย ถ้าท่านอ้างเลศนี้แล้ว ไฉนเลยเราจะได้มีโอกาสสร้างความดีกับเขาได้ ความดีมีทั่วไป ความชั่วก็มีทั่วไป ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เป็นของแน่เพราะเป็นกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเรา ปัญหาของเราเอง เราก็ต้องแก้ปัญหาเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาแก้ปัญหาให้ คนอื่นมาแก้ไม่ได้ต้องตัวเราเองถึงจะลึกซึ้ง ใครจะจริงเท่าตัวเราเป็นปัจจัตตังที่อาตมาพูดเสมอมา ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย บางคนที่จะรู้ว่าจะตายเมื่อไร นั้นอยากมาก ถ้าเรามีสติครบ เราจะเดินทางไปสู่สัมปรายภพ จะได้พบความสงบเยือกเย็น และเดินทางไปด้วยความดีอันนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ จะเอาความชั่วติดตัวไปไปเหยียบโคลน เขาเรียกว่าสะเทือนน้ำสะเทือนบกไม่เรียบร้อย ไปเรือก็ติดแห้ง ไปรถก็ลงน้ำ ติดหล่ม เป็นอย่างนี้แหละหนอ อะไรจะสะดวกสบายเท่ากับ ปัจจัยเราที่สร้างความดีไว้ให้กับตัวเราเอง ความจริงทุกข์อยู่ของมันเอง ความสุขก็อยู่ของมัน แต่เราไปเอาทุกข์มาไว้ในใจ แล้วจะเกิดความสุขได้อย่างไร ความสุขก็หนีไปหมด ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ สร้างความดีได้อย่างไร นี่แหละท่านทั้งหลาย การเจริญกัมมัฏฐานเป็นยอดที่สุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมเราก็ไม่ได้อะไรเลย เราจะไปอ่านหนังสือธรรมะสักร้อยเล่มพันเล่ม มันก็เท่านั้น ก็ทำไม่ได้ อ่านได้ก็รู้แต่ในหนังสือแต่ไม่รู้จริงในจิตใจ เพราะเข้าไม่ถึงในจิตใจเลย การจะเข้าถึงจิตใจจะแสดงพฤติกรรมบอกให้คนอื่นได้ทราบนั้น อยู่ที่การปฏิบัติกัมมัฏฐาน ฐานะดีจิตใจเราจะได้แจ้งแสงสว่างมโนธรรม ชีวิตก็จะแจ่มใส ขอให้ญาติโยมคิดและมีสติ คิดการณ์ใกล้การณ์ไกล รู้จักการสับเปลี่ยนและเลื่อนฐานะของตัวเอง ให้เข้าไปสู่ความดีมีปัญญาต่อไป ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า ผู้นั้นถึงธรรม เราปฏิบัติธรรมได้เราถึงจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร ท่านต้องลำบากเหนื่อยยากพระวรกาย สั่งสอนสรรพสัตว์ในโลกนี้ จนถึงแก่พระนิพพาน เราถึงธรรมแล้วความสุขสว่างแล้ว ตรงนี้แหละถึงพระพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ชัดเจนมากไม่มีอะไรชัดเจนเท่านี้แล้ว ถ้าเราผลัดเพี้ยนเปลี่ยนไป เราก็ผลัดตลอด จนกระทั่งตาย ตายไปแล้วก็เอาใส่โลงศพ จะเอาไปฝัง เอาไปสุสาน จะไปเผาก็เท่านั้นเอง ร่างกายสังขารก็เป็นเถ้าถ่าน เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็หมดไปแล้ว เหลือแต่ธาตุดินธาตุเดียว และต้องละลายไปตามดิน ไม่มีอะไรที่จะดีได้เท่ากับจิตใจเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำจิตใจให้ดี เราต้องแก้ไข เราปฏิบัติธรรมต้องประสบทุกข์คือความปวดเมื่อย และจิตใจมันออกไปโน้นไปนี่ มันน่ารำคาญ เป็นธรรมชาติเหมือนลิงค่างบ่างชะนี เช่นนี้ เรากว่าจะทำให้ยุติลงได้แสนจะยากมาก

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

รักใครดี


เมื่อรักใครแล้วใจเราต้องเจ็บ.........

ยังจะเก็บรักนั้นไว้อยู่อีกหรือ........

อย่าให้เขามองว่าเราเป็นกระบือ........

ให้เขาถือเชือกจูงเพื่อนำทาง..........

จงทิ้งรักนั้นไปอย่าอาวรณ์........

ไม่ต้องนอนเศร้าเสียใจให้อ้างว้าง......

แยกทางเดินกับเขาคนละทาง........

แล้วปล่อยวางคิดว่าเขานั้นไปดี.......

ส่วนตัวเราจงจดจำในความช้ำ........

เขาได้ทำกับเราไว้อย่างนี้........

จะรักใครก็ทบทวนดูให้ดี..........

อย่าให้มีประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย.........